“หัวปลี” หรือ “ปลีกล้วย” เป็นดอกที่ปลายลำต้นของต้นกล้วย โดยเมื่อกล้วยเจริญเติบโตเต็มที่ หัวจะสร้างใบสุดท้ายที่เรียกว่าใบธง จากนั้นจะหยุดสร้างใบใหม่ และเริ่มสร้างช่อดอก ลำต้นที่มีช่อดอกอ่อนบรรจุอยู่ ก่อนจะพัฒนาขึ้นภายในลำต้นเทียม จนในที่สุดมันก็โผล่ออกที่ด้านบนลำต้นเทียม โดยแต่ละลำต้นเทียมจะสร้างช่อดอกเพียงช่อเดียวเป็น “ปลี”
อุดมไปด้วยแคลเซียมมากกว่ากล้วยสุกถึง 4 เท่า โปรตีนธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี เบต้าแคโรทีน
ช่วยบำรุงนํ้านม และเพิ่มคุณค่าสารอาหารในน้ำนมแม่ จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับแม่ลูกอ่อน
รักษาโรคกระเพราะอาหารอักเสบ แก้ปวดท้อง บำรุงลำไส้ อีกทั้งยังสามารถลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
ปลีกล้วยมีธาตุเหล็กจึงเป็นยาบำรุงเลือด แก้ภาวะโลหิตจาง และยังช่วยให้เลือดไหลเวียนดียิ่งขึ้น
ปลีกล้วยอุดมไปด้วยแคลเซียม จึงช่วยบำรุงฟันให้แข็งแรง และช่วยให้ฟันขาวสะอาดแข็งแรง
แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม
มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด จึงดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน
มีสารต้านอนุมูลอิสระ ปลีกล้วยมีสารกลุ่มฟีโนลิก เช่น แอนโทไซยานิน เบตา-แคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้
แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ แก้ปวดประจำเดือน
ยางจากหัวปลีก็ใช้รักษาแผลสด หรือทาบริเวณที่บวมจากแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อโรคจึงใช้รักษาอาการติดเชื้อได้
ช่วยบำรุงผิวพรรณ ให้นวลเนียน ดูมีน้ำมีนวล
ช่วยรักษาแผลในปากให้หายเร็วขึ้น ช่วยแก้ร้อนใน แผลปากเปื่อย
คุณค่าทางโภชนาการอาหารของ หัวปลี
ชาวยุโรปผู้ที่ทานมังสวิรัติได้นำหัวปลีมาแปรรูปแทนเนื้อสัตว์ เพราะมีโปรตีนสูงและมีเนื้อสัมผัสคล้ายกับเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะนำมาทำเนื้อปลาเทียม ผู้ที่เป็นมังสวิรัติจะนิยมมาก
ส่วนคุณค่าทางโภชนาการของหัวปลีนั้น มีดังนี้
พลังงาน 30 กรัม
น้ำ 93 กรัม
โปรตีน 2 กรัม
ไขมัน 0.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม
ใยอาหาร 1 กรัม
แคลเซียม 40 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 50 มิลลิกรัม
เหล็ก 2 มิลลิกรัม
โพแทสเซียม 601 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 290 I.U.
เบตา-แคโรทีน 193 Ug
วิตามินซี 28 มิลลิกรัม
สารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มฟีนอลิกรวม ฟลาโวนอยด์ แทนนิน และซาโปนิน